ตะลุยข่าว » อาชญากรรม-ยาเสพติด » ศาลต้ดสินคดีเลขานายกเทศมนตรีฉกเงินนาน5ปีนับ10ล้าน

ศาลต้ดสินคดีเลขานายกเทศมนตรีฉกเงินนาน5ปีนับ10ล้าน

14 กันยายน 2022
6680   0

ศาลต้ดสินคดีเลขาส่วนตัวนายกเทศมนตรีฉกเงินนาน5ปีสูญ 10 ล้านบาทแล้ว โดยตัดสินจำคุก ผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 ปี

https://th.vietjetair.com/

จากกรณี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอนหัวฬ่อ ทำการจับกุม น.ส.สุนันทา สืบแก้ว อายุ 29 ปี พนักงานฝ่ายทะเบียนราษฎร อำเภอเมืองชลบุรี โดยมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดภายในห้องนอนของบ้านเลขที่ 63/2 ม.3 ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของ นางตวงทิพย์ ภาวสุทธิ์ชัยกิจ นายกเทศมนตรีตำบลหนองไม้แดง ที่สามารถจับภาพไว้ได้ขณะเข้าไปรื้อค้นในห้องนอน ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าออกไป หลังการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดอย่างละเอียดพบว่า น.ส.สุนันทา ได้ก่อเหตุในลักษณะเดียวกันทุกวันรวม 21 ครั้ง  ซึ่งที่ผ่านมาระยะนานกว่า 5 ปี น.ส.สุนันทา ได้ก่อพฤติกรรมดังกล่าวหลายร้อยครั้ง

นางตวงทิพย์ ได้ระบุว่าถูกลักขโมยเงินทุกวัน วันประมาณ 5,000 ถึง 20,000 บาท ตลอดเวลาที่ผ่านมาระยะแรกๆ ตนไม่ได้สังเกตุ จนกระทั่งมาระยะหลัง สังเกตเห็นสิ่งปกติว่าเงินในกระเป๋าทำไมถึงหายได้ตลอดทุกวัน ทีแรกก็สงสัยคนรอบข้างทุกคน แม้กระทั่งลูกสาวตัวเองก็ยังคิดว่าเป็นขโมย จนถูกคนรอบข้างมองว่าป่วยมีอาการทางจิตเป็นโรคระแวง   ต่อมาจึงตัดสินติดกล้องวงจรปิดภายในห้องนอนจึงเห็นพฤติกรรมสาวแสบทุกอย่าง โดยได้อดทนแบบสุดๆให้กล้องจับภาพทุกวันเป็นเวลา 21วัน จึงแน่ใจแน่นอนว่าสิ่งที่ตนสงสัยคนร้ายที่ขโมยเงินตนทุกวันคือ น.ส.สุนันทา จึงตัดสินใจนำคลิปกล้องวงจรเข้าแจ้งความ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตั้งข้อกล่าวหา น.ส.สุนันทา ว่า ลักทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ในเคหสถาน ขณะที่จากการตรวจสอบเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารของผู้ต้องหายังพบมีการเปิดบัญชีมากกว่า 5 ธนาคาร และบางธนาคารมียอดเงินสะสมกว่า 4 ล้านบาท ทั้งที่ผู้ต้องหามีเงินเดือนจากการเป็นพนักงานเทศบาลเพียง 12,000 บาท

น.ส.สุนันทา   ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริง โดยได้กระทำการดังกล่าวได้ประมาณ 2 ปี และอ้างว่าสาเหตุจูงใจเกิดจากความโลภ ส่วนเงินที่ยักยอกไปได้นำไปใช้จ่ายรายวัน

ผู้เสียหาย คาดว่าน่าจะหายไปเกือบ 10 ล้านบาท ทางพนักงานสอบสวน ตั้งข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ ต่างกรรม ต่างวาระ หลังจากนั้น ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลจังหวัดชลบุรี แต่ทางผู้ต้องหา ทำการอุทธรณ์ ไปถึงชั้นฎีกา โดยอ้างว่ามีภาระต้องดูแลบิดามารดาที่ชราและต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่ยังไม่ได้เรียนหนังสือ หรือมีเหตุอื่นตามที่อ้าง ในฎีกา ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค ๒ ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จึงได้ตัดสินจำคุก ผู้ต้องหา รวมจำนวน 12 ปี ดังกล่าว นอกจากนี้ผู้เสียหายได้มีการฟ้องแพ่งให้ศาลจังหวัดชลบุรี ยึดทรัพย์คืนจากผู้ต้องหา  อีกด้วย