บิ๊กโจ๊กเผยมีคนไทยที่ช่วยกลับมาจากเมืองเล่าก์ก่ายแอบหนีออกไปทำงานคอล์เซ็นเตอร์ชายแดนต่อ
วันนี้(22 ก.พ.67) เวลา 16.30 น. ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางมาติดตามการขยายผลดำเนินคดีขบวนการค้ามนุษย์เล่าก์ก่ายเมียนมา หลังประสานทางการเมียนมาและจีนช่วยเหลือคนไทยกลับมา525คน หลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์สู้รบในหลายพื้นที่ เขตชายแดนประเทศ เมียนมาตั้งแต่เดือนช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา โดยเมืองเล่าก์ก่ายมีคนไทยที่เดินทางไปทำงานเป็นจำนวนมากได้ร้องขอรัฐบาลไทยให้เข้าให้การช่วยเหลือเพื่อนำกลับประเทศ
โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ร่วมกับ
กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบก กองทัพอากาศ กระทรวงพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประสานงานกับทางการเมียนมาในการให้ความ ช่วยเหลือคนไทยที่ติดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อนำกลับมายังประเทศไทยอย่างปลอดภัย โดย ที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาแล้วแล้ว 5 ครั้ง สามารถช่วยเหลือคนไทยได้แล้ว 525 ราย โดยนำเข้าสู่กระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) ที่
มลฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย, กองร้อยอาสารักษาดินแดน จ.เชียงราย และศูนย์บูรณาการคัดกรอง หนองจอก กทม. ทั้งนี้ในจำนวนดังกล่าว มีผู้ต้องหาตามหมายจับ (คดีทั่วไปและคดีคอลเซ็นเตอร์) จำนวน 20 ราย ทางเจ้าหน้าที่นำเข้า สู่กระบวนการคัดกรองพบเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จำนวน 174 ราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการซักถามและคัดกรองตามขั้นตอนกระบวนการ คัดแยกเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการกระทำผิด โดยเฉพาะการหลอกลวงคนไทยไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ ในส่วนของคนไทยชุดแรกที่ได้รับการ ช่วยเหลือจำนวน 41 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการคัดแยกและพบเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จำนวน 20 คน และดำเนินการขยายผลดำเนินคดีกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นขบวนการหลอกคนไทยไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ที่ ประเทศเมียนมา เมืองเล่าก์ก่าย และขออนุมัติหมายจับต่อศาลจำนวน 14 ราย สามารถจับกุมได้แล้วจำนวน 9 ราย โดยยังมีผู้ต้องหาหลบหนี อีก 5 ราย ซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน สมคบกันค้ามนุษย์ด้วยการ บังคับใช้แรงงาน
ส่วนการช่วยเหลือครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา ได้ให้การช่วยเหลือคนไทยอีกจำนวน 111 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการคัดแยกและพบเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จำนวน 85 คน และดำเนินการขยายผลดำเนินคดีกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นขบวนการ หลอกคนไทยไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศเมียนมา เมืองแผน และขออนุมัติหมายจับต่อศาลจำนวน 20 ราย สามารถจับกุมได้แล้วจำนวน 15 ราย อายัดตัวดำเนินคดี 2 ราย โดยยังมีผู้ต้องหาหลบหนีอีก 3 ราย ซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน สมคบกันค้ามนุษย์ด้วยการบังคับใช้แรงงาน ขบวนการค้ามนุษย์กลุ่มนี้มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีคนทำหน้าที่ต่างๆ ในองค์กร เช่น หัวหน้าฝ่ายบริหาร ฝ่ายฝึกอบรมในการทำคอลเซ็นเตอร์ ฝ่ายชักชวนคนมาทำงาน ฝ่ายการเงิน ฝ่ายจัดหาล่าม ฝ่ายควบคุมการทำงาน และ ทำโทษ รวมทั้งฝ่ายปฏิบัติการโทรหลอกลวง ซึ่งผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากขบวนการนี้ ถูกชักชวนว่าจะให้ไปทำงาน เป็นแอดมินเว็บพนันออนไลน์ในเมืองเล่าก์ก่าย เมียนมา แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์ และชักชวน ลงทุน หากไม่ยอมทำงานจะถูกจับเรียกค่าไถ่เป็นจำนวนเงิน 2-7 แสนบาท หากไม่มีเงินค่าไถ่ก็จะถูกบังคับให้ทำงาน หากไม่ทำจะถูกทำร้ายร่างกายและกักขังซึ่งหลายคนได้หลบหนีออกมาและขอความช่วยเหลือดังกล่าวฃ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันในส่วนของการประสานงานเพื่อช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่พิพาทเมืองเล่าก์
ก่าย เมียนมานั้น ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการประสานงานกับทางการเมียนมาและทางการจีน ในการ เร่งพาคนไทยที่ยังติดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวกลับมาอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด โดยหลังจากที่มีการช่วยเหลือคนไทย เหล่านี้กลับมาแล้ว ก็จะนำตัวเข้ารับการดูแลและคัดแยกเหยื่อที่ทางรัฐจัดหาให้ในการดำเนินการตามกลไก NRM ซึ่งที่ ผ่านมาได้คัดกรองผู้เสียหายออกมาได้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมทั้งมีการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้อีก 20 ราย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังดำเนินการขยายผลดำเนินคดีกับขบวนการหลอกคนไทยไปบังคับทำงานคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งในกลุ่มแรกสามารถขยายผลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการแล้ว 14ราย จับกุมแล้ว 8 ราย , กลุ่มอื่นสามารถขยาย ผลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการแล้ว 20 ราย จับกุมและอายัดตัวดำเนินคดีแล้ว 17 ราย ในส่วนของคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือกลับมาทั้งหมด ก็จะมีการขยายผลทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการหลอกลวงดังกล่าว ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน กรณีการจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ขอให้มีการพิจารณาข้อมูลให้ถี่ถ้วน เน้นความปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมายหากพบเบาะแสของขบวนการหลอกลวงคนไทยไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ สามารถแจ้งเบาะแสได้ผ่านช่องทางสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง “หลังจากที่ได้มีการช่วยเหลือกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อ กลับมายังประเทศไทยแล้ว บางคนยังลักลอบออกนอกประเทศไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกคนไทยอีก ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ด้านตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งจะได้มีการติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ส่วนพื้นที่ชายแดน สามเหลี่ยมทองคำทั้ง ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และคิงส์โรมัน สปป.ลาว สถานการณ์การค้ามนุษย์ยังคงมีความน่าเป็นห่วง ซึ่งก็ต้องขอเตือนหากจะไปทำงานต่างประเทศต้องพิจารณาให้ดี เพราะไปแล้วอาจถูกหลอกได้ และไม่ได้มีงานรองรับ 100 เปอร์เซนต์” รอง ผบ.ตร.กล่าว