ตะลุยข่าว » รอบรั้วทั่วไทย » น.ส.สาวกับนายกอล์ฟสารภาพฆ่ารัดคอล้างหนี้ป้าอ้อย ก่อนนำศพโยนทิ้งเหว 

น.ส.สาวกับนายกอล์ฟสารภาพฆ่ารัดคอล้างหนี้ป้าอ้อย ก่อนนำศพโยนทิ้งเหว 

7 กรกฎาคม 2023
7411   0

น.ส.สาวกับนายกอล์ฟสารภาพฆ่ารัดคอล้างหนี้ป้าอ้อย ก่อนนำศพโยนทิ้งเหว

วันนี้ (7 ก.ค. 2566)ผู้สื่อข่าวรายงานล่าสุด เมื่อเวลา 14.00 น. พลตำรวจโทธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เดินทางลงพื้นที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อสอบปากคำผู้ต้องหาและร่วมแถลงข่าวสรุปคดีที่เกิดขึ้น โดยได้ใช้เวลาประชุมร่วมกับชุดสืบสวนคลี่คลายคดี เป็นเวลาประมาณ 50 นาที จากนั้นได้พูดคุยกับ นส.สาว และนายกอล์ฟ สองผู้ต้องหา ถึงแรงจูงใจและมูลเหตุในการก่อคดีประมาณ 20 นาที  จึงได้ทำการแถลงข่าว โดยมีของกลาง ประกอบด้วย รถยนต์ ฮอนด้า แอคคอร์ด ซึ่งใช้ในการก่อเหตุลงป้าอ้อยไปฆ่ารัดคอ รถจักรยานยนต์ที่นายกอล์ฟใช้ ในการนำบัตรประชาชนและทรัพย์สินของป้าอ้อยไปเผาทำลายมาร่วมในการแถลงข่าวด้วย

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวว่า ในด้านการสืบสวนคลี่คลายคดีนั้น ทางตำรวจระดมกำลังทำการสืบสวนหาข่าวอย่างเต็มที่ จนสามารถขอศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน คือ นางสาววิลาวัณย์ ขอสงวนนามสกุล หรือ “สาว” อายุ 38 ปี และนายนิติ ขอสงวนนามสกุล  หรือ “กอล์ฟ” โดยในส่วนของ น.ส.สาว นั้น เป็นเพื่อนร่วมงานที่เดียวกับป้าอ้อยและรู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นเวลานาน ส่วนนายกอล์ฟ เป็นคนรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกับน.ส.สาว  ในการลงมือก่อเหตุครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะล้างหนี้ ของ น.ส.สาว ที่เคยไปขอิงนป้าอ้อย มาออกรถให้ 3 คัน โดยตกลงว่าจะให้เงินค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งล้านบาท แต่เมื่อป้าอ้อยออกรถมาให้เรียบร้อย น.ส.สาวกลับให้เงินกับป้าอ้อยไม่ครบตามที่สัญญา เมื่อป้าอ้อยถูกไฟแนนซ์ตามทวงถามเรื่องค่างวดรถ จึงได้ไปทวงเงินกับน.ส.สาว ทำให้น.ส.สาว วางแผนลงมือฆ่าป้าอ้อย โดยลวงป้าอ้อยว่าจะพาไปหาเพื่อนที่เป็นนายทุนในอำเภอศรีสวัสดิ์ เพื่อเอาเงินมาปลดหนี้ค่ารถทั้งสามคัน จากนั้นได้ขับรถไปรับป้าอ้อยโดยในระหว่างทางได้ลงมือฆ่ารัดคอป้าอ้อย โดยมีนายกอล์ฟเป็นลูกมือและน.ส.สาว จ่ายค่าจ้างนายกอล์ฟในราคา 20,000 บาท

พล.ต.ต.ไพโรจน์ คุ้มภัย  ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี กล่าวว่า หลังทางตำรวจรับแจ้งเรื่องการหายตัวของป้าอ้อย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 กรกฎาคม ก็ได้มีการออกติดตามสืบสวนจากกล้องวงจรปิดตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยเรื่อยไป จนพบว่า ป้าอ้อยขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดที่ปั๊มน้ำมันในพื้นที่ตำบลลาดหญ้า ต่อมาได้มีรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด ซึ่งมี น.ส.สาวเป็นคนขับและนายกอล์ฟ นั่งมาด้วย มารับไป โดยมุ่งหน้าไปทางอำเภอศรีสวัสดิ์ โดยกล้องวงจรปิดที่จับภาพรถของผู้ก่อเหตุได้จุดสุดท้ายก็คือในพื้นที่ หมู่ 4 บ้านท่าสนุ่น ตำบลด่านแม่แฉลบ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัว น.ส.สาว และนายกอล์ฟ มาสอบปากคำอย่างละเอียด สุดท้าย ผู้ต้องหาทั้งสองยอมรับสารภาพ ว่าได้ร่วมกันลงมือฆ่าป้าอ้อยจริง โดยนำศพไปทิ้งลงเหว ริมถนนสาย 3199 กายจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ ห่างจากท่าจอดแพขนานยนต์ประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อไปตรวจสอบก็พบศพของป้าอ้อยอยู่ในจุดดังกล่าวจริง

น.ส.สาว ยังให้การเพิ่มเติม ถึงวินาทีสังหารป้าอ้อยว่า ตนเองได้ขับรถไปรับป้าอ้อยและให้ป้าอ้อยนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับ จากนั้น นายกอล์ฟที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังป้าอ้อย ได้ใช้เชือกที่เตรียมมา ลงมือรัดคอป้าอ้อยอย่างใจเย็นจนป้าอ้อยแน่นิ่งจึงขับรถมุ่งหน้าไปอำเภอศรีสวัสดิ์ ในระหว่างทางได้เปลี่ยนให้นายกอล์ฟมาขับรถแทน ส่วนตนได้ใช้เชือกรัดคอป้าอ้อยซ้ำอีกครั้งเพื่ให้แน่ใจว่าป้าอ้อยตายแล้ว เมื่อขับรถมาถึงที่ทิ้งศพจึงหยุดรถและยกร่างป้าอ้อยลงจากรถและทิ้งลงข้างทางที่เป็นหุบเหว ก่อนตนจะขับรถกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ส่วนนายกอล์ฟตนได้ให้ไปขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อนำทรัพย์สินและบัตรประชาชนของป้าอ้อยไปทำการเผาทำลายที่ท่าน้ำบ้านท่าเพนียด

ด่าน พล.ต.ท.ธนายุตม์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ยังได้กล่าวอีกว่า ก่อนจะลงมือก่อเหตุ ผู้ต้องหาทั้งสองคน ได้มีการวางแผนและสำรวจเส้นทางที่จะนำศพไปทิ้งมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากนี้ จะได้พิจารณาว่า จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองคนในข้อหาฆ่าผู้อื่นตายไตร่ตรองไว้ก่อนเพิ่มด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ ในระหว่างการแถลงข่าว ได้มี ครูหนึ่ง ซึ่งเป็นครูในมหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี เดินทางมาขอพบผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7 เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อคดีครั้งนี้ เนื่องจากครูหนึ่ง มีชื่อเป็นเจ้าของรถฮอนด้า ที่ น.ส.สาว ใช้ในวันก่อเหตุ โดยครูหนึ่ง ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองได้รับการขอร้องจาก น.ส.สาว ที่รู้จักกันมานับสิบปี ให้ช่วยใช้ชื่อไปออกรถคันดังกล่าวให้ โดย น.ส.สาว จะให้ค่าตอบแทน จำนวน 50,000 บาท โดย น.ส.สาวอ้างว่า อยากได้รถไว้ใช้รับส่งลูก ด้วยความรู้จักคุ้นเคยและไว้ใจและได้ค่าตอบแทน จึงตกลงใจใช้ชื่อไปออกรถคันดังกล่าวให้ แต่ไม่ได้รับเงินห้าหมื่นบาทแต่อย่างใด